บอร์ด ความรัก,ประสบการณ์จริงในชีวิตครั้งหนึ่งได้ไปประสบมาอยากเล่าให้ฟังอยากให้ลองอ่านอยากให้รู้ว่าสิ่งที่เล่าในเรื่องนี้เป็นความจริงสิ่งมหัศจรรย์มีจริง ประสบการณ์ช.. โพสท์โดย Tokira#1. ออกพรรษา ที่วัดศรีวิชัย...ผ่างงงงงงงงง...ผ่างงงงงงงงงง...ผ่างงงงงงงงงงงงงงงเสียงฆ้องดังฝ่าความมืดสลัวๆ เวลาเช้าตรู่ในวันใหม่ของวันออกพรรษาเด็กน้อย รีบตื่น ยังไม่ล้างหน้าแปรงฟัน รีบออกจากห้องนอน (ของเด็กวัด) กึ่งวิ่ง กึ่งเดิน ไปที่ศาลาวัด เพื่อให้ทันทำวัตรเช้าการทำวัตรสวดมนต์ เป็นกิจวัตรของสงฆ์ ของพระสงฆ์วัดสายปฏิบัติธรรมหลังจากทำวัตรเช้าเสร็จ เด็กวัดอย่างเรา (ที่ชอบตื่นไม่ทันทำวัตร) ต้องกลับไปล้างหน้า แปรงฟันก่อน ...โมงงงงงงงงงง...โมงงงงงงงงงงง...โมงงงงงงงงงงงงงงง...เสียงระฆังดังอีกรอบเวลา 6.30 น....พระ-เณร เตรียมบาตร เดินไปพร้อมกันที่ซุ้มประตูวัดเด็กวัด ก็เตรียมพร้อม เดินตามหลังแถวพระ-เณรที่เดินรับบิณฑบาตรฤดูออกพรรษา ของพระสายธรรมยุติ เป็นฤดูกาลที่รับอานิสงส์ของการที่ได้ตั้งใจตั้งข้อวัตรปฏิบัติตลอดฤดูเข้าพรรษา เพื่อออกพรรษาแล้ว พระ-เณร ก็จะสามารถออกไปพักค้างแรม ที่เสนาสนะอื่นได้...หลังออกพรรษาผ่านไป 15 (ประมาณ) หลังทำวัตรเย็นเสร็จ พระครูบาเสริฐ ได้เดินเข่าเข้าไปกราบหลวงพ่อเจ้าอาวาส"ครูจารย์ครับ หลังออกพรรษานี้ กระผมอยากจะขออนุญาต กราบลาครูจารย์ไปปลีกวิเวกที่วัดถ้ำฆ้อง สัก 2-3 วัน ขอรับ""อืม .. ไป ก็ไป" หลวงพ่อเจ้าอาวาสกล่าว และมีการสนทนา ในเรื่องของการเดินทาง และวัดเป้าหมายที่จะไปในครั้งนี้"กระผมจะขออนุญาต นำอ้ายนิด (สังกะรี) ไปด้วยนะขอรับ" พระครูบากล่าว และหลวงพ่อเจ้าอาวาสอนุญาตหลังจากกราบลา หลวงพ่อเจ้าอาวาสออกมาแล้ว ในคืนนั้น ก็มีการเก็บเสื้อผ้า (เตรียมตัว) เล็กน้อย เพราะเด็กวัดไม่มีของอะไรมาก #2. เดินทางถึงวัดถ้ำฆ้องในเช้าวันใหม่ พระครูบา กับเด็กวัดน้อย โดยเด็กวัดช่วยถืออัฐบริขารช่วยพระครูบา แล้วก็พากันเดินไปรอรถสองแถวที่ซุ้มประตูวัด เพื่อรอรถสองแถว การเดินทางครั้งนี้ต้องข้ามหลายอำเภอ และนั่งรถหลายต่อ กว่าจะถึงเป้าหมาย.......เดินทางออกจากวัดศริวิชัย บ้านศรีเวินชัย ด้วยรถสองแถว เปิดประทุนรถแล่นไปตามถนน (รพช) ชนบท ที่เชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้าน กับตัวเมือง ออกจากบ้านศรีเวินชัย > บ้านดอนเตย ฯลฯ ผ่านไปหลายหมู่บ้าน จนถึงอำเภอบ้านแพงต่อรถออกจากอำเภอบ้านแพง ไปทางอำเภอบึงกาฬ ผ่านบ้านโนนหนามแท่ง (บ้านโยมพ่อ โยมแม่ของพระครูบา)พระครูบา พาแวะบ้านโยมพ่อ โยมแม่ ที่บ้านโนนหนามแท่งพระครูบาท่านแวะเยี่ยมและแสดงธรรมโปรดโยมพ่อโยมแม่แล้ว ช่วงบ่ายๆ จึงเดินทางต่อไปวัดถ้ำฆ้อง อบต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ โดยรถโยม ที่อาสาพาไปส่ง.................เป็นเวลาประมาณบ่ายสี่เกือบบ่ายห้าโมงแล้ว ที่พระครูบา และเด็กวัดน้อยเดินทางไปถึง.................(เกริ่นคร่าวๆ)เครดิต: อบต.โพธิ์หมากแข้งวัดถ้ำฆ้อง เป็นวัดป่า (สำนักสงฆ์) ที่ตั้งอยู่บนลานหินทราย ที่อยู่เชิงเขา ภูลังกา จังหวัดหนองคาย ลักษณะสภาพแวดล้อม พื้นที่ทั่วไปเป็นลานหินทราย มีต้นไม้เล็ก ใหญ่ เกิดเรียงรายพอประมาณ พื้นที่รอบลานหินทราย จะเป็นป่าปัญจพันธุ์ มีต้นไม้ทุกขนาดลานหินทรายนั้น เนื่องจากเกิดขึ้นมานานแล้ว จึงเกิดรอยแยก อาจเกิดเพราะหินทรายแตกแยกเอง แล้วเกิดการเซาะของทางน้ำธรรมชาติ เป็นระยะเวลาหลายร้อย หลายพันปี ทำให้เกิดร่องหินทรายขนาดกว้าง ขนาด 3-4 เมตร และลึกลงไป 5-7 เมตร (ประมาณ) ถ้าเป็นฤดูฝน ก็จะเป็นทางน้ำไหลผ่าน แต่ในช่วงฤดูออกพรรษา น้ำแห้งแล้ว จึงไม่มีน้ำร่องหินใหญ่เหล่านั้น มีระยะทางยาวหลายร้อยเมตร มีทางเดินลงไปข้างล่าง สามารถเดินที่ร่องหินข้างล่างได้เมื่อไปถึงวัดถ้ำฆ้อง พระครูบา ได้เข้าไปที่ศาลาฉัน ของวัด พร้อมกับเด็กวัด เข้าไปกราบพระประธานในศาลา และนั่งพัก ประมาณสักพัก เจ้าอาวาสวัดถ้ำฆ้อง ได้เดินมาที่ศาลา เพื่อปฏิสันถาน (ต้อนรับ) ทั้งสองท่าน ได้สอบถามการวัตถุประสงค์การเดินทางมา และสนทนาธรรมพอประมาณจากนั้น ท่านเจ้าอาวาส ได้แจ้งที่พักให้พระครูบา และเด็กวัด สำหรับการปลีกวิเวกที่นี่พระลูกวัดได้พาพระครูบา และเด็กวัด ไปส่งที่พักตามที่เจ้าอาวาสบอกสถานที่พักนั้น เดินเลยจากศาลาฉันตามทางลานหิน ขึ้นไปทางทิศเหนือ ประมาณร้อยกว่าเมตร ทางเข้าที่พัก เป็นทางเดินลงซอกหินกว้างพอเดินได้สะดวก เดินลึกเข้าไปประมาณ 50 เมตร ก็จะพบถ้ำ ในถ้ำมีเตียงไม้ 1 ตัว ด้านข้างของถ้ำ อีกด้านเป็นหน้าผา มีต้นไม้ ไม่ชันมากเมื่อจัดที่พัก วางของเสร็จ ก็เกือบมืดแล้ว กับพระครูบา จึงขึ้นจากถ้ำ เพื่อไปทำวัตร สวดมนต์ กับพระอื่นที่ศาลาฉันทำวัตรเย็นเสร็จ ก็มีการสนทนาธรรมกันพอประมาณเวลาประมาณ สามทุ่ม พระแต่ละรูปต่างแยกย้ายกันกลับกุฏิ (ถ้ำ) ของตัวเองพระครูบา และเด็กวัด ก็เดินกลับถ้ำเนื่องจากเป็นฤดูกาลหลังออกพรรษา ยังไม่หมดฤดูหนาว ดังนั้น เวลาเย็นและกลางคืนที่เชิงเขาวัดถ้ำฆ้อง อากาศจึงเย็นเป็นพิเศษ และแถมด้วยลมหนาวที่พัดม้วนลงมาจากยอดเขา บอกได้เลย ว่าหนาวเมื่อถึงถ้ำ พระครูบา ได้พาสวดมนต์ชุดใหญ่อีกครั้ง และนั่งสมาธิภาวนา และเด็กวัดก็ต้องทำตามด้วยคืนแรกที่วัดถ้ำฆ้อง ได้นอนตอนประมาณ 5 ทุ่ม พร้อมกับอากาศเย็นๆ ในถ้ำอันมืดมิด... #3. วันที่สอง อบสมุนไพร...เช้าแล้ว (ตีสี่) อากาศเย็นมาก พระครูบา ปลุกเด็กวัด ขึ้นมาสวดมนต์ และนั่งสมาธิจากนั้น เตรียมบาตร และบริขาร ของพระครูบาขึ้นไปที่ศาลา เพื่อไปร่วมทำวัตรเช้า และเตรียมตัวบิณฑบาตรพระกลับจากบิณฑบาตร และร่วมฉันอาหารที่ศาลา เสร็จเกือบ 8.30 น. ล้างบาตร และเก็บที่ฉันเสร็จ ขนอุปกรณ์ลงเก็บที่ถ้ำ ที่จำวัดเมื่อคืนช่วงกลางวันที่วัดถ้ำฆ้อง โยมฆราวาส ร่วมกับพระลูกวัด ได้ทำห้องอบสมุนไพร ซึ่งมีขนาดกว้าง 1.50 เมตร สูงประมาณ 2 เมตร ผนังปิดด้วยแผ่งสังกะสี มีการอุดรอยรั่วอย่างดี มีประตูเข้าด้านหน้า ด้านหลังมีท่อส่งไอน้ำสมุนไพร จากหม้อต้ม (ถังแดง) สมุนไพร ขนาดใหญ่โยมกะพระอีกชุด ก็เดินเข้าป่า เพื่อไปหาสมุนไพรป่า เพื่อนำมาใช้ต้มอบสมุนไพรระหว่างการเดินทางหาสมุนไพรป่านี้ พระลูกวัด ได้พาเดินเที่ยวชมด้านล่างร่องหินทรายใหญ่ ที่เป็นซอกลึกใต้หน้าผา"เดี๋ยวผมจะพาไปดูถ้ำฆ้อง" พระลูกวัดบอกถ้ำฆ้อง เป็นลัษณะถ้ำหินใต้ซอกร่องหิน ที่ถูกน้ำเซาะกัดกร่อนจนเป็นรอยบุ๋มขนาดใหญ่ขึ้นไปบนเพดานหิน สามารถคลานเข้าไป และยืนในนั้นได้ 3-4 คน ที่โดดเด่น คือมีถ้ำฆ้อง และถ้ำฆ้องใหญ่หลังจากเดิน คลาน สำรวจเป็นที่เพียงพอแล้ว จึงพากันขึ้นจากร่องหินทีมที่ไปหาสมุนไพร ก็ได้สมุนไพรมาเตรียม เพื่อการต้มเป็นช่วงเวลาบ่ายมากแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นมาก ซุ้มอบสมุนไพร ก็พร้อมทดลองการอบ ทั้งพระ ทั้งโยม ได้เข้าไปนั่งอบสมุนไพร คนละ 5 นาที 10 นาที รวมทั้งเด็กวัดด้วยทราบว่า การอบสมุนไพร ช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น และสรรพคุณอื่น ตามสมุนไพรที่ใช้ในการต้ม (เรื่องนี้ต้องมีผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรกำกับเป็นอย่างดี).....................เป็นเวลาไกล้มืดแล้ว พระครูบาและเด็กวัด จึงลงถ้ำ เตรียมตัวอาบน้ำ (น้ำเย็นมากกกก)หลังจากน้ำก็เตรียมตัวพร้อมกันที่ศาลา เพื่อทำวัตรและสวดมนต์เย็น*** ที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้า แสงสว่างที่ได้ โดยใช้โคมไฟเทียน หรือตะเกียงน้ำมันเมื่อทำวัตร สวดมนต์ นั่งภาวนา เสร็จ ก็มีการสนทนาธรรมะ และคุยเรื่องอื่นๆ ในนั้นมีเรื่องวัตถุมงคล ของขลังด้วยหลังการคุยมีการแจกว่านชนิดหนึ่ง จากหลวพ่อเจ้าอาวาส เรียกว่า "ว่านดักแด้""ว่านดักแด้" มีลักษณะคล้ายหัวขมิ้น หรือขิง แต่มีขนาดเล็กเท่าตัวดักแด้ ทราบว่ามีคุณไสย์ทางด้านฟันในกัดไม่เข้า หมายถึง สัตย์ร้ายที่มีริมฝีปากหุ้มฟัน เช่น สุนัข จะกัดไม่เข้า ว่างั้นหลวงพ่อเจ้าอาวาส แจกทุกคน ยกเว้นเด็กวัด แต่เด็กวัดก็อยากได้บ้าง เลยขอกะพระครูบา ตอนลงถ้ำ หลังเลิกทำวัตรสวดมนต์พระครูบาบอกมีอันเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยขอกับพลวงพ่อเจ้าอาวาส....................ลงถ้ำหลังทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ประมาณ 3 ทุ่ม กิจวัตรในถ้ำ ก่อนนอน เหมือนคืนก่อน คือ พระครูบาพาสวดมนต์ชุดใหญ่ และนั่งสมาธิ จนห้าทุ่ม ถึงได้นอนอากาศทั้งหนาวเย็น บางจังหวะ มีลมหนาวพัดม้วนเข้ามาในถ้ำด้วย..เย็นนนน #4. ปาฏิหาริย์ ว่านดักแด้...อากาศในถ้ำของคืนนี้ก็หนาวเย็นเหมือนคืนที่ผ่านมา นอนขดคู้ในผ้าห่มบางที่เตรียมมาเท่าไหร่ก็ไม่หายหนาว...ตื่นตีสี่ ได้ยินพระครูบาสวดมนต์ เลยรีบตื่นมาสวดมนต์ และนั่งภาวนาต่อหน่อยนึง ก็เป็นเวลาเตรียมตัวเพื่อยกบาตร และบริขารไปศาลาฉัน...กิจวัตรพระครูบา กับพระรูปอื่นๆ ในวัดของช่วงเวลาเช้า เหมือนทุกวัน คือออกไปบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ตามแนววัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นองค์ศาสดาของศาสนาพุทธเมื่อบิณฑบาตรกลับมาเสร็จ เด็กวัดและโยมอุปัฏฐากรีบไปยกบาตรพระครูบาขึ้นศาลา พระขึ้นศาลาเตรียมเข้าที่นั่งฉัน ที่เด็กวัดและโยมได้จัดเตรียมไว้วันนี้ มีกิจพิเศษ ที่มีคณะโยมทางบ้านมาร่วมถวายอาหารที่วัดหลายคนกว่าทุกวัน จึงมีการให้ศีล ถวายทาน เป็นขั้นเป็นตอน เมื่อพระรับถวายทานเสร็จ ให้พรเสร็จ ก็เริ่มฉันตามปกติพระฉันข้าวเสร็จ เด็กวัดล้างบาตร เช็ดบาตรจนแห้ง เก็บบริขารกลับที่ถ้ำพี่พัก..........................ช่วงกลางวันของวันนี้ ดูมีกิจกรรมพิเศษของพระอาจารย์ เห็นมีโยมมาขอสักยันต์ เมื่อทราบเช่นนั้น เด็กวัดก็เลยเข้าไปร่วมสังเกตุการณ์...การสักยันต์นี้ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล) เรียกกันว่า "หมวกเหล็ก" การเตรียมสักนั้น ผู้รับสักจะต้องโกนผมออกให้หมด จะเตรียมรับศีลห้าอะไรก่อนหรือไม่นั้น ไม่แน่ใจ เพราะตอนไปถึงนั้น พระอาจารย์ท่านบริกรรมคาถา เสกคาถา ลงเข็มแล้วพระอาจารย์สักเป็นอักษรตัวธรรม ล้อมเป็นวงบนผิวหนังศรีษะอย่างเป็นงานศิลปะ อย่างเชี่ยวชาญ การดำเนินการใช้เวลาประมาณร่วมชั่วโมง (ถ้าเดาไม่ผิด) ก็สำเร็จ ความศักดิ์สิทธิ์ อำนาจพุทธคุณของยันต์หมวกเหล็ก ฝากผู้อ่านหาความรู้เพิ่มเติมอีกทีนะครับ น่าจะมีแหล่งความหลายอยู่...จากนั้น ช่วงเวลาของกลางวัน ก็ชวนกันเดินเข้าป่า เข้าถ้ำ (ซอกหินผาลึก) จนช่วงบ่ายแก่ๆ มาเข้าซุ้มอบสมุนไพร ซึ่งอากาศหนาวเย็นอย่างนี้ เหมาะมากกับการเข้าซุ้มอบสมุนไพร...จนเวลาค่ำ ก็กลับถ้ำ อาบน้ำ เตรียมตัวร่วมสวดมนต์ ทำวัตรเย็น ที่ศาลาฉัน ซึ่งเป็นเวลาหกโมงเย็น เกือบ 1 ทุ่ม พระ-เณร ก็ร่วมกันทำวัตรเย็น สวดมนต์ นั่งสมาธิ หลังจากนั่งสมาธิเสร็จ ก็มีการนั่งสนทนาธรรมกันพอประมาณ และมีการกล่าวถึงว่านดักแด้ด้วย...ด้วยความที่อยากได้ เด็กวัดจึงเข้าไปกราบพระอาจารย์ (หลวงพ่อเจ้าอาวาส) พร้อมขอว่านดักแด้จากท่าน"เอ๊า.. เอาไป 1 อัน" พร้อมยื่นว่านดักแด้ ให้เด็กวัดตะกรองมือรับว่านจากพระอาจารย์ด้วยความเคารพ...สนทนากันพอสมควร จึงแยกย้ายกันกลับที่พัก...เด็กวัดเดินตามหลังพระครูบา ระหว่างเดินตามหลังพระครูบา ก็ครุ่นคิดไป ว่าจะเก็บว่านไว้ตรงไหนดี เพราะเสื้อที่ใส่ไปก็เป็นเสื้อคอ V ไม่มีกระเป๋า ส่วนกางเกง ก็เป็นกางเกงกีฬาเก่าๆ มีกระเป๋าเล็กๆ สุดท้ายของความคิด เลยลงทุนกัดต้นปลอกคอเสื้อให้เป็นรู เพื่อที่จะสอดว่านดักแด้ไว้ในคอเสื้อกัดคอเสื้อเสร็จ ก็ใส่ว่านเข้าไปในคอเสื้อ และรีดว่านลงไปสุดปลายแหลมตัว V แล้วก็เดินตามพระครูบาไปจนถึงถ้ำ และก็ได้พบความแปลกประหลาดใจระหว่างเดินเข้าถึงปากถ้ำ ก่อนที่จะถึงเตียงประมาณ 5 เมตร ได้มีงูลายเหลืองดำ (น่าจะเป็นงูสามเหลี่ยม) ขนาดเท่านิ้วโป้ง ได้มาขดตัวนอนขวางทางอยู่ ระหว่างนั้นพระครูบา จึงได้แผ่เมตตาให้งูตัวนั้น พร้อมแจ้งประสงค์ลอยๆ ไปว่า "การมาครั้งนี้ ก็ได้มาเพื่อแสวงหาที่สงบ ปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาเพื่อเบียดเบียนใดๆ ของู (เจ้าที่ เจ้าทาง) เป็นทาง ให้ด้วยเถิดฯ"เหมือนกระแสจิตจะถึง เจ้างูตัวนั้น ก็เลื้อยหลบไปอีกทางอย่างง่ายดายถึงเตียงที่พักแล้ว พระครูบาก็เตรียมสวดมนต์ และนั่งสมาธิภาวนา เหมือนทุกคืน ดูคืนนี้ จะสวดเยอะกว่าปกติจากนั้น พระครูบาก็จำวัด ส่วนเด็กวัดก็เข้าที่นอนนอนหลับไปตลอดคืน จนช่วงดึกๆ รู้สึกอากาศหนาวเย็น กว่าทุกคืน บางจังหวะ มีลมหนาวพัดม้วนลงมาในถ้ำ นอนขดตัวในผ้าห่ม สองมือตัวเองก็กุมที่คอเสื้อที่มีว่านดักแด้ สักพักก็รู้สึกว่า มีมือที่ใหญ่กว่า 3-4 เท่า มากุม แกะ แย่งว่านดักแด้ที่เราเพิ่งได้มาเมื่อคืน มือใหญ่ (ที่ไม่เห็นตัวคน) พยายามรีดว่านขึ้นมาจากส่วนแหลมคอเสื้อตัว V เพื่อจะเอาออกทางรูคอเสื้อที่เจาะไว้ ยังไม่ทันหลุดออก มือเราก็พยายามรีดเอากลับไว้เหมือนเดิม แย่งกันไปมาอยู่อย่างนั้นในความฝันที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น สุดท้าย (ในฝัน) เรามั่นใจว่าเราแย่งกลับได้และกุมไว้แน่น ในขณะนั้นมือใหญ่ก็อันตรธานหายไป พร้อมกับเราสะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยความมั่นใจ... แต่คลำๆดู รู้สึกว่า "ทำไมว่านดักแด้เรา ถึงส่วนปลายแหลมจัง" พร้อมนั้น ก็รีบรีดออกมาจากคอเสื้อสิ่งที่พบ และอัศจรรย์ใจที่สุดคือ "ว่านดักแด้ที่เราแย่งได้มา กลายเป็นเม็ดพุทราเก่า"เป็นไปได้อย่างไร แต่ก็เป็นไปแล้ว ด้วยความงุนงง สงสัย จึงแจ้ง/กราบเรียนถาม พระครูบา พระครูบาก็ไม่ตอบ ไม่พูดอะไรกราบเรียนถาม พระอาจารย์ หลังฉันอาหารเช้าเสร็จ ท่านก็ไม่กล่าว ไม่พูดอะไร"ไม่เป็นไร... งั้นเอาไปอีกนะ" ท่านให้มาหลายอัน....................วันนี้วันสุดท้าย ที่ต้องเดินทางกลับวัดศรีวิชัย เดินทางกลับพร้อมกลับความงุนงง และอัศจรรย์ใจ ในสิ่งที่พบเจอเมื่อพระฉันอาหารเสร็จ เสร็จกิจธุระแล้ว จึงได้กราบลาพระอาจารย์ และเดินทางกลับ